14 ธ.ค. กฟผ.ชี้ 5 เมกะเทรนด์พลังงาน ลดคาร์บอน-เทคโนโลยีผลิตไฟฟ้า
ธุรกิจพลังงานเป็นกลุ่มที่ถูกปัจจัยคุกคามหลายประเด็นทั้งด้านเทคโนโลยีและการเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นกลุ่มแรกที่จะถูกเก็บภาษีสิ่งแวดล้อมจากกรมสรรพสามิต จากปัจจัยดังกล่าวจึงเห็นเมกะเทรนด์ในประเด็นของธุรกิจพลังงานในปี2565 บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ไทยพร้อมยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศเต็มที่ เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน และจะปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ในปี2065 อย่างไรก็ตาม การที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ต้องอาศัยความร่วมมือในการขับเคลื่อนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาคพลังงาน ภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร โดย กฟผ.นำนโยบายดังกล่าวมาปรับแนวทางดำเนินงาน ดังนั้น ปี 2565 สิ่งที่จะเห็นชัดเจน คือ 1.รูปแบบการผลิตไฟฟ้า ที่ไม่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงเป็นแนวโน้มพลังงานในอนาคต 2.การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่มีความเหมาะสมในอนาคตส่งผลให้กลุ่มผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าจะนำพลังงานทดแทนมาเสริมในรูปแบบต่างๆ ประกอบด้วย การใช้โซลาร์เซลล์ (Solar Cell) ในการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจากปัจจัยราคาที่ลดลงและจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนผิวน้ำ เพื่อไม่ต้องแย่งพื้นที่และลดการระเหยของผิวน้ำ การใช้พลังงานลม (Wind Energy) เป็นอีกแนวโน้มหนึ่งที่จะเข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้า แต่การที่ไทยอยู่บนพื้นที่ที่มีความเร็วลมต่ำทำให้พลังงานลมรูปแบบกังหันลมในทะเลเป็นอีกทางในการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมที่ต้องศึกษาความเหมาะสมต่อไป ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เนื่องจากความผันผวนของการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และพลังงานลม ทำให้เทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซไฮโดรเจนโดยใช้เซลล์เชื้อเพลิง (Hydrogen Fuel Cell) เป็นอีกแนวโน้มหนึ่งในการผลิตไฟฟ้าในอนาคต หลังการของการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบนี้คือ การน้ำไฟฟ้ามาทำปฏิกิริยาแยกก๊าซ ซึ่งจะได้ไฮโดรเจนมาเก็บไว้ และเมื่อต้องการพลังงานไฟฟ้าก็จะน้ำไฮโดรเจนนี้กลับมาผลิตไฟฟ้าอีกครั้งหนึ่ง ...